วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

ฝัน....


วันใดที่ผมท้อแท้และสิ้นหวัง....คำพูดของลุงที่โรงพยาบาลนั่นจะดังขึ้นในหัวเสมอ
            ค่ำคืนแสนสงบสายลมเย็นสบายๆ พัดผ่านเบาๆสัมผัสกับร่างกาย  ผมยืนอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล สภาพจิตใจของผมตอนนี้มันพร้อมที่จะดิ่งลงสู้พื้นดิน เพื่อหนีไปจากชีวิตอันล้มเหลวไม่มีชิ้นดีของผม ตอนนี้ผมเป็นแค่คนตกงานที่เหลือเงินอยู่เพียงน้อยนิด แค่จะประทังชีวิตเพียง 1 ชีวิตยังแทบจะไม่พอ ยังมีอีก 1 ชีวิต ที่รอผมอยู่ ภรรยาของผม เธอกำลังรอวันที่เราสองคนจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนคู่รักสามีภรรยาทั่วไป แต่วันนั้นจะมาถึงได้อย่างไรในเมื่อผมไม่มีแม้แต่เงินที่จะจ่ายค่ารักษาเธอให้กลับเป็นปกติ  ผมหลับตายืนร้องไห้อยู่นาน นึกถึงวันที่เราเคยมีเงินเคยรักกัน แต่ภาพเหล่านั้นคงจะไม่มีวันหวนคืนสู้ชีวิตผมได้อีกแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจก้าวขาออกไป
               “อยากตายขนาดนั้นเชียวเหรอพ่อหนุ่ม ผมหยุดชะงักเพราะเสียงนั่น แล้วหันกลับไปมองหาต้นเสียง...


         3  เดือนก่อน
            คืนหนึ่งขณะที่ผมกำลังถูกครอบงำด้วยฝันร้าย โทรศัพท์ที่วางไว้ที่หัวนอนก็ดังขึ้น ราวกับว่าเป็นเสียงระฆังช่วยชีวิตผมจากฝันร้าย ผมสะดุ้งตื่นทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเหงื่อท่วมไปทั้งตัว รู้สึกโล่งใจที่เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน แต่ความโล่งใจนั่นก็เป็นดังขนมหวานหลอกเด็กเท่านั้น เมื่อผมรับโทรศัพท์ผมแทบอยากจะให้ตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของฝันร้ายที่ผมกำลังเผชิญอยู่ เมื่อพ่อผมโทรมาบอกว่าภรรยาของผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในขณะที่เธอกำลังเดินทางกลับบ้านไปหาแม่ของเธอ วินาทีนั้นผมต้องคุมสติและพาตัวเองไปให้ถึงโรงพยาบาลให้ได้ ในใจก็เฝ้าแต่คิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันโชคชะตาเล่นตลกอะไร เราเพิ่งสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเพื่อมาเจอความจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่าอย่างนั้นหรือ
            ผมถึงโรงพยาบาลภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากที่ได้รู้ข่าวจากพ่อ ระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลเกือบ 40 กิโลเมตร โชคดีที่เป็นตอนกลางคืนจึงไม่ค่อยมีรถสัญจรไปมามากนัก ถ้าไม่อย่างนั้นผมอาจจบชีวิตลงระหว่างทางไปมาโรงพยาบาลก็ได้
            ราตรีกาลผ่านไป เช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ผมกับพ่อยังนั่งรออยู่หน้าห้อง ICU  
 “ออกไปหาอะไรกินก่อนไหมพ่อ เดี๋ยวผมอยู่รอเองครับ   ผมเอ่ยปากถามพ่อ
 เออ ก็ดีเหมือนกัน เอ็งจะเอาอะไรไหม” 
อะไรก็ได้ครับพ่อ”  
ผมตอบพ่อไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก ถึงแม้ว่าท้องผมกำลังหิว ร่างกายก็อ่อนเพลียจากการ อดนอนมาทั้งคืน แต่มันก็ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกแย่ไปกว่า ร่างที่ไร้สติของภรรยาผมที่นอนอยู่ในห้อง ICU ตอนนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรทั้งสิ้น ได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จะมีใครออกมาจากห้อง ICU แล้วช่วยให้ความกังวลที่ราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบของผมหายไปได้บ้าง

            ทั้งหมดเป็นความผิดของผม
            ทั้งหมดเป็นความผิดของผม ผมนั่งกินข้าวที่พ่อซื้อมาให้ตอนเช้าพร้อมก็คิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ใช่แล้ว ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเอง ผมทำงานเป็นพนักงานประจำของบริษัทแห่งหนึ่ง ปีนี้รายได้ของบริษัทไม่ดีนักบริษัทจึงมีนโยบายลดจำนวนพนักงานลง โดยคัดเอาพนักงานที่ดีๆและบรรดาลูกรักของเจ้านายไว้ โชคร้ายที่ผมไม่ได้อยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผมได้รับเงินเดือนล่วงหน้า 6 เดือนเป็นวันสุดท้ายของการทำงานในบริษัทแห่งนี้ ผมตกงาน อยู่หลายเดือน ภรรยาผม....เธอเป็นคนดี เธอคอยปลอบใจผมอยู่ตลอด แต่ด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ผมทนเกาะเมียกินไปวันๆไม่ได้ ผมเร่งหางานทุกวันเช้ายันค่ำ แต่ไม่ว่าจะวันไหนก็ไม่มีบริษัทไหนเปิดรับพนักงานใหม่เลย ยิ่งนานไปความเครียดยิ่งสะสมขึ้นทุกวัน ผมเริ่มมีอาการของโรคประสาทภรรยาของผมแนะนำให้ไปหาหมอ ผมจึงทำตามที่เธอบอก แต่มันไม่ได้ช่วยให้อาการทุเลาลงเลย ผมเครียดมาก จนทำร้ายตัวเองอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ลุกขึ้นมาอาละวาดจนข้าวของเสียหาย และเมื่อวานผมก็ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายลงไป ผมพลั้งมือทำร้ายภรรยาของผม ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายเธอ เธอพยายามเข้ามาห้ามผมตอนผมอาละวาด ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเหงื่อท่วม ตัวสั่นไปทั้งตัว เธอมีแผลที่หางคิ้วผมพยายามจะทำแผลให้เธอ แต่ดูเหมือนเธอจะโกรธผมมาก คืนนั้นเองที่เธอตัดสิ้นใจหนีผมกลับไปที่บ้านแม่ของเธอ

                ประตูห้อง ICU เปิดขึ้น
            ชายที่ดูเหมือนหมอเจ้าของไข้เดินออกมาจากห้องพร้อมผู้ช่วยอีก 1 คน ผมตรงเข้าไปที่คุณหมออย่างไม่รีรอเพื่อจะถามอาการของภรรยา
ภรรยาของผมเป็นยังไงบ้างครับ  ด้วยความกังวลของผม เพียงแค่เสียววินาทีที่หมอกำลังจะเอ่ยปากตอบก็ดูเหมือนจะนานเกินไปด้วยซ้ำ
ภรรยาของผมเป็นยังไงบ้างครับ 
คุณใจเย็นๆก่อนนะครับ ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ เดี๋ยวหมอจะย้ายคนไข้ไปที่ห้องพักฟื้นเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดครับ
คำพูดของหมอในตอนนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หลังจากที่แบกมันมานานกว่า 6 ชม. แต่จะโล่งใจทั้งหมดยังไม่ได้ เธอยังไม่ฟื้น แล้วไหนจะค่ารักษาที่แพงแสนแพงที่จะเอามาแลกกับชีวิตของภรรยาของผม คนตกงานอย่างผมจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย ตอนนี้เธอย้ายมาอยู่ในห้องพิเศษที่ดูแลอย่างใกล้ชิดโดยหมอและพยาบาลตลอด 24 ชม. เธอยังไม่ได้สติ และยังต้องให้อาหารทางสายน้ำเกลืออยู่

ผ่านไป 1 สัปดาห์ เธอยังไม่มีวี่แววจะฟื้น ค่ารักษาพยาบาลก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่มี โชคร้ายที่ประกันอุบัติเหตุของเธอก็เพิ่งจะหมดอายุ ปกติผมจะเป็นคนจัดการดูแลเรื่องนี้ แต่ช่วงที่ผมตกงานผมเครียดจนไม่มีกระจิตกระใจทำอะไร ทำให้ลืมไปว่าประกันอุบัติเหตุของเธอและผมได้หมดอายุไปแล้ว รู้ตัวอีกก็ตอนที่เธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้เสียแล้ว เป็นธรรมดาของคนเราที่จะรู้ว่าอะไรขาดหายไปก็ต่อเมื่อมองหามัน บางสิ่งบางอย่างมีมาให้ใช้ประโยชน์ได้ทุกวันแต่เราไม่ได้ต้องการใช้มัน สิ่งๆนั้นจึงค่อยๆถูกแทนที่ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่เราคิดว่ามันสำคัญกว่า จนกระทั้งเราต้องการใช้มันจริงๆ เราก็จำไม่ได้แล้วว่าเอาสิ่งๆนั้นไปเก็บไว้ตรงไหน

            ผมเที่ยวตามหาคนรู้จักเพื่อยืมเงินไปใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลของภรรยา แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถติดต่อได้เลย เงินเก็บของภรรยาของผมก็พอใช้ได้แค่จ่ายเป็นค่าผ่าตัด ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาให้เธอฟื้น เพื่อที่จะได้เห็นแววตาของเธออีกครั้ง และไปให้พ้นๆเสียจากสถานที่ที่ต้องเอาเงินมาแลกกับชีวิตแห่งนี้ แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับผม เธอยังคงนอนไม่ได้สติต่อไปอีก 3 เดือน จนบริษัทที่เธอทำงานอยู่โทรมาบอกว่าจำเป็นต้องเลิกจ้างเธอ เพราะตำแหน่งที่เธอเป็นอยู่นั้นสำคัญมากๆ ทางบริษัทจึงต้องหาคนใหม่มาแทนโดยไม่มีทางเลือก ตอนนี้เรากลายเป็นคนตกงานด้วยกันทั้งคู่ ผมคิดอะไรไม่ออก พ่อก็ช่วยอะไรได้ไม่มากเพราะแกเป็นคนจนหาเลี้ยงปากท้องตัวเองไปวันๆตั้งแต่แม่ของผมเสียชีวิต ผมไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ในใจก็ได้แต่ถามว่าผมทำผิดอะไรทำไมชีวิตต้องเป็นแบบนี้ ขอแค่เพียงเธอฟื้นขึ้นมาทำไมเรื่องแค่นี้ถึงขอไม่ได้  ใครกันที่เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตเรา ไม่รู้บ้างหรือไงว่าคนที่ถูกกำหนดเขาก็มีความรู้สึก ผมได้แต่ถามคำถามที่ไม่รู้ว่าจะมีใครตอบได้ไหมวนไปวนมาแบบนี้ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของโรงพยาบาล
อยากตายขนาดนั้นเชียวเหรอพ่อหนุ่ม ผมหยุดชะงักเพราะเสียงนั่น แล้วหันกลับไปมองหาต้นเสียง...
                ชายแก่คนหนึ่งใส่ชุดคนไข้ของโรงพยาบาลยืนมองมาที่ผม ท่าทางแกไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมกำลังจะทำ น้ำเสียงแกดูสุขุมและนิ่งมากๆ จนทำให้ผมคิดว่าแกกำลังสนใจผมอยู่จริงๆหรือเปล่า
            ว่าไงพ่อหนุ่ม อยากตายมากเลยรึแกย้ำถามผมอีกครั้ง
            ก็......
                “ความจริงก็ไม่ได้อยากตายใช่ไหมล่ะ เพียงแต่ว่าเอ็งไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปยังไงแกพูดแทรกขึ้นมาขณะที่ผมกำลังลังเลว่าจะตอบว่าอะไร แต่ดูเหมือนที่แกพูดจะเป็นคำตอบที่ผมพยายามค้นหาคำพูดไปตอบแกเลย
            ก็คงเป็นแบบนั้นครับลุง
                “แล้ว...ขึ้นมาที่นี่ได้บอกใครหรือยังลุงแกยังคงถามต่อ
                “จะบอกได้ไงล่ะลุง ว่าจะมาฆ่าตัวตาย ขืนบอกไปเขาก็ต้องห้ามสิ
                “ถ้าอย่างนั้นก่อนตายก็ควรจะมีคนได้รับรู้เรื่องของเอ็งไว้สักคนหนึ่ง เล่าให้ลุงฟังได้ไหมล่ะชีวิตของเอ็งที่เอ็งบอกว่าไม่รู้จะใช้มันต่อไปยังไง เล่าให้ลุงฟังหน่อยแล้วถ้าอยากจะตายก็ตาย รับรองลุงไม่ห้ามเอ็งหรอก    ผมเล่าเรื่องของผมให้ลุงฟัง ดูท่าทางลุงแกตั้งใจฟังมากๆ ตั้งใจฟังตั้งแต่เริ่มต้นจนผมเล่าจบ เวลาผ่านไป 1 ชม. ลุงแกนั่งหลับตาลงก่อนที่จะเอ่ยปากพูดขึ้น
            เอ็งไม่รู้จริงๆสินะว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงเมื่อในเป็นแบบนี้ เหมือนตอนนั้นเลยใช้หรือเปล่า
                “ตอนไหนครับลุง
            ตอนเอ็งเกิด ตอนที่เอ็งต้องเรียนรู้อะไรต่ออะไรในการเติบโต เอ็งรู้รึว่าจะต้องโตยังไงจะต้องทำยังไงชีวิตถึงจะดี แล้วแบบไหนที่มันเรียกว่าดี มีอะไรเป็นตัวชี้วัด ลองคิดดูสิว่ามันต่างจากตอนนี้ตรงไหน
                “นั่นสินะ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตยังไงมันไม่ได้ต่างกันเลย
                “ถูกต้อง มันไม่ได้ต่างกันเลย ต่างกันอยู่แค่เรื่องเดียวคือตอนนี้เอ็งกำลังตกอับและไม่มีใครคอยช่วยเหลือเหมือนแต่ก่อน
                “ใช่ครับตอนนี้ผมไม่รู้จะหันไปหาใคร ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเลย ชีวิตตอนนี้ตกต่ำที่สุดเลย อีกไม่นานมันต้องแย่กว่านี้แน่ๆน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมา รู้สึกว่าน้อยใจในโชคชะตาตัวเองเหลือเกิน
            แย่กว่านี้รึ? ถ้าเอ็งคิดว่าตอนนี้เอ็งตกต่ำที่สุดแล้ว แล้วเอ็งจะตกต่ำไปมากกว่านี้ได้ยังไงกัน
            ลุงหมายความว่ายังไง
                “ลุงจะบอกอะไรให้ก่อนที่เอ็งจะตายนะไอ้หนุ่ม เวลาเอ็งย่อเข่าลงมาน่ะ ถ้าย่อสุดแล้วมันก็ไม่มีต่ำลงไปกว่านี้หรอก อีกหน่อยเอ็งก็ต้องลุกขึ้นยืน แล้วถ้าเอ็งยืนได้แล้วต่อให้เขย่งแค่ไหนมันก็ไม่มีวันที่จะสูงได้มากกว่านั้น ชีวิตมันก็ขึ้นๆลงๆแบบนี้ตลอดไปนั่นแหละ อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิตมากกว่ากัน และเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองไว้ตรงช่วงไหน ตอนนี้เอ็งกำลังตกต่ำเอ็งจะตายไปทั้งอย่างนี้น่ะรึ แล้วถ้าวินาทีที่เอ็งตัดสินใจกระโดดลงไปเมียเอ็งฟื้นขึ้นมาเขาจะอยู่กับใคร
                “ไหนลุงบอกว่าจะไม่ห้ามผมไง
                “ก็ไม่ได้ห้าม ลุงแค่พูดให้เอ็งฟังเฉยๆ ลุงชื่อสมหมายนะ แล้วที่เอ็งเจอลุงน่ะเพราะลุงชอบขึ้นมารับลมที่ดาดฟ้านี่เป็นประจำ เอาล่ะลุงพูดในสิ่งที่อยากจะพูดหมดแล้ว เอ็งจะทำอะไรก็ตามใจลุงไปละ

 หลังจากพูดจบแกก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาล เหลือแต่ผมที่อยู่บนดาดฟ้าตามลำพัง นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ลุงพูดไปมาจนตอนนี้ผมเริ่มสับสน ความคิดของผมกับของลุงมันเริ่มตีกัน เหงื่อออกเต็มตัวทั้งๆที่บนดาดฟ้ามีลมพัดอยู่ตลอดเวลา และไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่รู้สึกว่าความคิดของผมจะชนะความคิดของลุง ผมเริ่มเดินออกไปใกล้ระเบียงดาดฟ้าอีกครั้ง ผมกำลังจะจบชีวิตของผมลง ผมกำลังจะหนีปัญหา น้ำตาไหลออกมา เสียดายชีวิตแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมยังไม่ทันก้าวขาพ้นระเบียงก็ต้องชะงักเพราะรู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งจับมือของผมไว้จับไว้แน่นมาก.....แน่นมากๆ ผมได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อผม เป็นเสียงผู้หญิงเสียงที่ผมรู้จักดี เสียงนั่น......

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองฟุบอยู่ที่ขอบเตียงคนไข้ที่ภรรยานอนอยู่ มือของผมและเธอจับกันแน่น ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกตัวแล้วและเสียงของเธอยังคงเรียกชื่อผมอยู่.....

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น