ฝัน....
วันใดที่ผมท้อแท้และสิ้นหวัง....คำพูดของลุงที่โรงพยาบาลนั่นจะดังขึ้นในหัวเสมอ
ค่ำคืนแสนสงบสายลมเย็นสบายๆ
พัดผ่านเบาๆสัมผัสกับร่างกาย ผมยืนอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล
สภาพจิตใจของผมตอนนี้มันพร้อมที่จะดิ่งลงสู้พื้นดิน เพื่อหนีไปจากชีวิตอันล้มเหลวไม่มีชิ้นดีของผม
ตอนนี้ผมเป็นแค่คนตกงานที่เหลือเงินอยู่เพียงน้อยนิด แค่จะประทังชีวิตเพียง 1
ชีวิตยังแทบจะไม่พอ ยังมีอีก 1 ชีวิต ที่รอผมอยู่ ภรรยาของผม
เธอกำลังรอวันที่เราสองคนจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติเหมือนคู่รักสามีภรรยาทั่วไป แต่วันนั้นจะมาถึงได้อย่างไรในเมื่อผมไม่มีแม้แต่เงินที่จะจ่ายค่ารักษาเธอให้กลับเป็นปกติ ผมหลับตายืนร้องไห้อยู่นาน
นึกถึงวันที่เราเคยมีเงินเคยรักกัน
แต่ภาพเหล่านั้นคงจะไม่มีวันหวนคืนสู้ชีวิตผมได้อีกแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจก้าวขาออกไป
“อยากตายขนาดนั้นเชียวเหรอพ่อหนุ่ม” ผมหยุดชะงักเพราะเสียงนั่น
แล้วหันกลับไปมองหาต้นเสียง...
3 เดือนก่อน
คืนหนึ่งขณะที่ผมกำลังถูกครอบงำด้วยฝันร้าย
โทรศัพท์ที่วางไว้ที่หัวนอนก็ดังขึ้น
ราวกับว่าเป็นเสียงระฆังช่วยชีวิตผมจากฝันร้าย ผมสะดุ้งตื่นทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเหงื่อท่วมไปทั้งตัว
รู้สึกโล่งใจที่เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน แต่ความโล่งใจนั่นก็เป็นดังขนมหวานหลอกเด็กเท่านั้น
เมื่อผมรับโทรศัพท์ผมแทบอยากจะให้ตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของฝันร้ายที่ผมกำลังเผชิญอยู่
เมื่อพ่อผมโทรมาบอกว่าภรรยาของผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในขณะที่เธอกำลังเดินทางกลับบ้านไปหาแม่ของเธอ
วินาทีนั้นผมต้องคุมสติและพาตัวเองไปให้ถึงโรงพยาบาลให้ได้
ในใจก็เฝ้าแต่คิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันโชคชะตาเล่นตลกอะไร
เราเพิ่งสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเพื่อมาเจอความจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่าอย่างนั้นหรือ
ผมถึงโรงพยาบาลภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากที่ได้รู้ข่าวจากพ่อ
ระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลเกือบ 40 กิโลเมตร
โชคดีที่เป็นตอนกลางคืนจึงไม่ค่อยมีรถสัญจรไปมามากนัก
ถ้าไม่อย่างนั้นผมอาจจบชีวิตลงระหว่างทางไปมาโรงพยาบาลก็ได้
ราตรีกาลผ่านไป
เช้าวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ผมกับพ่อยังนั่งรออยู่หน้าห้อง ICU
“ออกไปหาอะไรกินก่อนไหมพ่อ
เดี๋ยวผมอยู่รอเองครับ” ผมเอ่ยปากถามพ่อ
“เออ ก็ดีเหมือนกัน เอ็งจะเอาอะไรไหม”
“อะไรก็ได้ครับพ่อ”
ผมตอบพ่อไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก
ถึงแม้ว่าท้องผมกำลังหิว ร่างกายก็อ่อนเพลียจากการ อดนอนมาทั้งคืน
แต่มันก็ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกแย่ไปกว่า
ร่างที่ไร้สติของภรรยาผมที่นอนอยู่ในห้อง ICU ตอนนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจทำอะไรทั้งสิ้น
ได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จะมีใครออกมาจากห้อง ICU แล้วช่วยให้ความกังวลที่ราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบของผมหายไปได้บ้าง
ทั้งหมดเป็นความผิดของผม
ทั้งหมดเป็นความผิดของผม
ผมนั่งกินข้าวที่พ่อซื้อมาให้ตอนเช้าพร้อมก็คิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ใช่แล้ว ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเอง
ผมทำงานเป็นพนักงานประจำของบริษัทแห่งหนึ่ง
ปีนี้รายได้ของบริษัทไม่ดีนักบริษัทจึงมีนโยบายลดจำนวนพนักงานลง
โดยคัดเอาพนักงานที่ดีๆและบรรดาลูกรักของเจ้านายไว้
โชคร้ายที่ผมไม่ได้อยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผมได้รับเงินเดือนล่วงหน้า 6
เดือนเป็นวันสุดท้ายของการทำงานในบริษัทแห่งนี้ ผมตกงาน อยู่หลายเดือน ภรรยาผม....เธอเป็นคนดี
เธอคอยปลอบใจผมอยู่ตลอด แต่ด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ผมทนเกาะเมียกินไปวันๆไม่ได้
ผมเร่งหางานทุกวันเช้ายันค่ำ
แต่ไม่ว่าจะวันไหนก็ไม่มีบริษัทไหนเปิดรับพนักงานใหม่เลย
ยิ่งนานไปความเครียดยิ่งสะสมขึ้นทุกวัน ผมเริ่มมีอาการของโรคประสาทภรรยาของผมแนะนำให้ไปหาหมอ
ผมจึงทำตามที่เธอบอก แต่มันไม่ได้ช่วยให้อาการทุเลาลงเลย ผมเครียดมาก
จนทำร้ายตัวเองอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ลุกขึ้นมาอาละวาดจนข้าวของเสียหาย และเมื่อวานผมก็ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายลงไป
ผมพลั้งมือทำร้ายภรรยาของผม ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายเธอ
เธอพยายามเข้ามาห้ามผมตอนผมอาละวาด ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเหงื่อท่วม
ตัวสั่นไปทั้งตัว เธอมีแผลที่หางคิ้วผมพยายามจะทำแผลให้เธอ
แต่ดูเหมือนเธอจะโกรธผมมาก คืนนั้นเองที่เธอตัดสิ้นใจหนีผมกลับไปที่บ้านแม่ของเธอ
ประตูห้อง
ICU เปิดขึ้น
ชายที่ดูเหมือนหมอเจ้าของไข้เดินออกมาจากห้องพร้อมผู้ช่วยอีก
1 คน ผมตรงเข้าไปที่คุณหมออย่างไม่รีรอเพื่อจะถามอาการของภรรยา
“ภรรยาของผมเป็นยังไงบ้างครับ” ด้วยความกังวลของผม
เพียงแค่เสียววินาทีที่หมอกำลังจะเอ่ยปากตอบก็ดูเหมือนจะนานเกินไปด้วยซ้ำ
“ภรรยาของผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“คุณใจเย็นๆก่อนนะครับ ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ เดี๋ยวหมอจะย้ายคนไข้ไปที่ห้องพักฟื้นเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดครับ “
คำพูดของหมอในตอนนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
หลังจากที่แบกมันมานานกว่า 6 ชม. แต่จะโล่งใจทั้งหมดยังไม่ได้ เธอยังไม่ฟื้น
แล้วไหนจะค่ารักษาที่แพงแสนแพงที่จะเอามาแลกกับชีวิตของภรรยาของผม
คนตกงานอย่างผมจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย ตอนนี้เธอย้ายมาอยู่ในห้องพิเศษที่ดูแลอย่างใกล้ชิดโดยหมอและพยาบาลตลอด
24 ชม. เธอยังไม่ได้สติ และยังต้องให้อาหารทางสายน้ำเกลืออยู่
ผ่านไป 1 สัปดาห์
เธอยังไม่มีวี่แววจะฟื้น ค่ารักษาพยาบาลก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่มี
โชคร้ายที่ประกันอุบัติเหตุของเธอก็เพิ่งจะหมดอายุ ปกติผมจะเป็นคนจัดการดูแลเรื่องนี้
แต่ช่วงที่ผมตกงานผมเครียดจนไม่มีกระจิตกระใจทำอะไร ทำให้ลืมไปว่าประกันอุบัติเหตุของเธอและผมได้หมดอายุไปแล้ว
รู้ตัวอีกก็ตอนที่เธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้เสียแล้ว
เป็นธรรมดาของคนเราที่จะรู้ว่าอะไรขาดหายไปก็ต่อเมื่อมองหามัน
บางสิ่งบางอย่างมีมาให้ใช้ประโยชน์ได้ทุกวันแต่เราไม่ได้ต้องการใช้มัน
สิ่งๆนั้นจึงค่อยๆถูกแทนที่ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่เราคิดว่ามันสำคัญกว่า
จนกระทั้งเราต้องการใช้มันจริงๆ เราก็จำไม่ได้แล้วว่าเอาสิ่งๆนั้นไปเก็บไว้ตรงไหน
ผมเที่ยวตามหาคนรู้จักเพื่อยืมเงินไปใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลของภรรยา แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถติดต่อได้เลย เงินเก็บของภรรยาของผมก็พอใช้ได้แค่จ่ายเป็นค่าผ่าตัด ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาให้เธอฟื้น เพื่อที่จะได้เห็นแววตาของเธออีกครั้ง และไปให้พ้นๆเสียจากสถานที่ที่ต้องเอาเงินมาแลกกับชีวิตแห่งนี้ แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับผม เธอยังคงนอนไม่ได้สติต่อไปอีก 3 เดือน จนบริษัทที่เธอทำงานอยู่โทรมาบอกว่าจำเป็นต้องเลิกจ้างเธอ เพราะตำแหน่งที่เธอเป็นอยู่นั้นสำคัญมากๆ ทางบริษัทจึงต้องหาคนใหม่มาแทนโดยไม่มีทางเลือก ตอนนี้เรากลายเป็นคนตกงานด้วยกันทั้งคู่ ผมคิดอะไรไม่ออก พ่อก็ช่วยอะไรได้ไม่มากเพราะแกเป็นคนจนหาเลี้ยงปากท้องตัวเองไปวันๆตั้งแต่แม่ของผมเสียชีวิต ผมไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ในใจก็ได้แต่ถามว่าผมทำผิดอะไรทำไมชีวิตต้องเป็นแบบนี้ ขอแค่เพียงเธอฟื้นขึ้นมาทำไมเรื่องแค่นี้ถึงขอไม่ได้ ใครกันที่เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตเรา ไม่รู้บ้างหรือไงว่าคนที่ถูกกำหนดเขาก็มีความรู้สึก ผมได้แต่ถามคำถามที่ไม่รู้ว่าจะมีใครตอบได้ไหมวนไปวนมาแบบนี้ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของโรงพยาบาล
ผมเที่ยวตามหาคนรู้จักเพื่อยืมเงินไปใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลของภรรยา แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถติดต่อได้เลย เงินเก็บของภรรยาของผมก็พอใช้ได้แค่จ่ายเป็นค่าผ่าตัด ตอนนี้ผมได้แต่ภาวนาให้เธอฟื้น เพื่อที่จะได้เห็นแววตาของเธออีกครั้ง และไปให้พ้นๆเสียจากสถานที่ที่ต้องเอาเงินมาแลกกับชีวิตแห่งนี้ แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับผม เธอยังคงนอนไม่ได้สติต่อไปอีก 3 เดือน จนบริษัทที่เธอทำงานอยู่โทรมาบอกว่าจำเป็นต้องเลิกจ้างเธอ เพราะตำแหน่งที่เธอเป็นอยู่นั้นสำคัญมากๆ ทางบริษัทจึงต้องหาคนใหม่มาแทนโดยไม่มีทางเลือก ตอนนี้เรากลายเป็นคนตกงานด้วยกันทั้งคู่ ผมคิดอะไรไม่ออก พ่อก็ช่วยอะไรได้ไม่มากเพราะแกเป็นคนจนหาเลี้ยงปากท้องตัวเองไปวันๆตั้งแต่แม่ของผมเสียชีวิต ผมไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ในใจก็ได้แต่ถามว่าผมทำผิดอะไรทำไมชีวิตต้องเป็นแบบนี้ ขอแค่เพียงเธอฟื้นขึ้นมาทำไมเรื่องแค่นี้ถึงขอไม่ได้ ใครกันที่เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตเรา ไม่รู้บ้างหรือไงว่าคนที่ถูกกำหนดเขาก็มีความรู้สึก ผมได้แต่ถามคำถามที่ไม่รู้ว่าจะมีใครตอบได้ไหมวนไปวนมาแบบนี้ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปยังดาดฟ้าของโรงพยาบาล
“อยากตายขนาดนั้นเชียวเหรอพ่อหนุ่ม” ผมหยุดชะงักเพราะเสียงนั่น
แล้วหันกลับไปมองหาต้นเสียง...
ชายแก่คนหนึ่งใส่ชุดคนไข้ของโรงพยาบาลยืนมองมาที่ผม
ท่าทางแกไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมกำลังจะทำ น้ำเสียงแกดูสุขุมและนิ่งมากๆ
จนทำให้ผมคิดว่าแกกำลังสนใจผมอยู่จริงๆหรือเปล่า
“ว่าไงพ่อหนุ่ม อยากตายมากเลยรึ” แกย้ำถามผมอีกครั้ง
“ก็......”
“ความจริงก็ไม่ได้อยากตายใช่ไหมล่ะ เพียงแต่ว่าเอ็งไม่รู้จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปยังไง” แกพูดแทรกขึ้นมาขณะที่ผมกำลังลังเลว่าจะตอบว่าอะไร
แต่ดูเหมือนที่แกพูดจะเป็นคำตอบที่ผมพยายามค้นหาคำพูดไปตอบแกเลย
“ก็คงเป็นแบบนั้นครับลุง”
“แล้ว...ขึ้นมาที่นี่ได้บอกใครหรือยัง” ลุงแกยังคงถามต่อ
“จะบอกได้ไงล่ะลุง ว่าจะมาฆ่าตัวตาย
ขืนบอกไปเขาก็ต้องห้ามสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก่อนตายก็ควรจะมีคนได้รับรู้เรื่องของเอ็งไว้สักคนหนึ่ง
เล่าให้ลุงฟังได้ไหมล่ะชีวิตของเอ็งที่เอ็งบอกว่าไม่รู้จะใช้มันต่อไปยังไง เล่าให้ลุงฟังหน่อยแล้วถ้าอยากจะตายก็ตาย
รับรองลุงไม่ห้ามเอ็งหรอก” ผมเล่าเรื่องของผมให้ลุงฟัง
ดูท่าทางลุงแกตั้งใจฟังมากๆ ตั้งใจฟังตั้งแต่เริ่มต้นจนผมเล่าจบ เวลาผ่านไป 1 ชม.
ลุงแกนั่งหลับตาลงก่อนที่จะเอ่ยปากพูดขึ้น
“เอ็งไม่รู้จริงๆสินะว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงเมื่อในเป็นแบบนี้
เหมือนตอนนั้นเลยใช้หรือเปล่า”
“ตอนไหนครับลุง”
“ตอนเอ็งเกิด ตอนที่เอ็งต้องเรียนรู้อะไรต่ออะไรในการเติบโต
เอ็งรู้รึว่าจะต้องโตยังไงจะต้องทำยังไงชีวิตถึงจะดี แล้วแบบไหนที่มันเรียกว่าดี มีอะไรเป็นตัวชี้วัด
ลองคิดดูสิว่ามันต่างจากตอนนี้ตรงไหน”
“นั่นสินะ
ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตยังไง…มันไม่ได้ต่างกันเลย”
“ถูกต้อง มันไม่ได้ต่างกันเลย
ต่างกันอยู่แค่เรื่องเดียวคือตอนนี้เอ็งกำลังตกอับและไม่มีใครคอยช่วยเหลือเหมือนแต่ก่อน”
“ใช่ครับตอนนี้ผมไม่รู้จะหันไปหาใคร
ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเลย ชีวิตตอนนี้ตกต่ำที่สุดเลย อีกไม่นานมันต้องแย่กว่านี้แน่ๆ” น้ำตาของผมมันก็ไหลออกมา รู้สึกว่าน้อยใจในโชคชะตาตัวเองเหลือเกิน
“แย่กว่านี้รึ? ถ้าเอ็งคิดว่าตอนนี้เอ็งตกต่ำที่สุดแล้ว แล้วเอ็งจะตกต่ำไปมากกว่านี้ได้ยังไงกัน”
“ลุงหมายความว่ายังไง”
“ลุงจะบอกอะไรให้ก่อนที่เอ็งจะตายนะไอ้หนุ่ม
เวลาเอ็งย่อเข่าลงมาน่ะ ถ้าย่อสุดแล้วมันก็ไม่มีต่ำลงไปกว่านี้หรอก
อีกหน่อยเอ็งก็ต้องลุกขึ้นยืน
แล้วถ้าเอ็งยืนได้แล้วต่อให้เขย่งแค่ไหนมันก็ไม่มีวันที่จะสูงได้มากกว่านั้น ชีวิตมันก็ขึ้นๆลงๆแบบนี้ตลอดไปนั่นแหละ
อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิตมากกว่ากัน
และเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองไว้ตรงช่วงไหน
ตอนนี้เอ็งกำลังตกต่ำเอ็งจะตายไปทั้งอย่างนี้น่ะรึ แล้วถ้าวินาทีที่เอ็งตัดสินใจกระโดดลงไปเมียเอ็งฟื้นขึ้นมาเขาจะอยู่กับใคร”
“ไหนลุงบอกว่าจะไม่ห้ามผมไง”
“ก็ไม่ได้ห้าม ลุงแค่พูดให้เอ็งฟังเฉยๆ
ลุงชื่อสมหมายนะ แล้วที่เอ็งเจอลุงน่ะเพราะลุงชอบขึ้นมารับลมที่ดาดฟ้านี่เป็นประจำ
เอาล่ะลุงพูดในสิ่งที่อยากจะพูดหมดแล้ว เอ็งจะทำอะไรก็ตามใจลุงไปละ”
หลังจากพูดจบแกก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาล
เหลือแต่ผมที่อยู่บนดาดฟ้าตามลำพัง นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ลุงพูดไปมาจนตอนนี้ผมเริ่มสับสน
ความคิดของผมกับของลุงมันเริ่มตีกัน เหงื่อออกเต็มตัวทั้งๆที่บนดาดฟ้ามีลมพัดอยู่ตลอดเวลา
และไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่รู้สึกว่าความคิดของผมจะชนะความคิดของลุง
ผมเริ่มเดินออกไปใกล้ระเบียงดาดฟ้าอีกครั้ง ผมกำลังจะจบชีวิตของผมลง
ผมกำลังจะหนีปัญหา น้ำตาไหลออกมา เสียดายชีวิตแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ผมยังไม่ทันก้าวขาพ้นระเบียงก็ต้องชะงักเพราะรู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งจับมือของผมไว้จับไว้แน่นมาก.....แน่นมากๆ
ผมได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อผม เป็นเสียงผู้หญิงเสียงที่ผมรู้จักดี เสียงนั่น......
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองฟุบอยู่ที่ขอบเตียงคนไข้ที่ภรรยานอนอยู่
มือของผมและเธอจับกันแน่น ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกตัวแล้วและเสียงของเธอยังคงเรียกชื่อผมอยู่.....